วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ตัวอย่างของ พืช GMOs หรือ พืชดัดแปลงพันธุกรรม (Examples of GMOs, Plants)
มะเขือเทศ GMOs
 
   มะเขือเทศGMOsมีลักษณะที่ดีขึ้น มีความทนทานต่อโรคมากขึ้น จากการที่ใส่ antisense gene ของยีน(gene)ที่ผลิตเอนไซม์ polygalacturonase (PG) ทำให้เอนไซม์ polygalacturonase ถูกรบกวนการแสดงออก มีผลทำให้เนื้อของมะเขือเทศมีความแข็งมากขึ้นทำให้ลดความเสียหายหรือการบอบช้ำขณะทำการขนส่งลง ทำให้มะเขือเทศเน่าช้าลงหลังจากที่เก็บเกี่ยวแล้ว

มะละกอ GMOs
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มะละกอ GMO
     ทำให้ได้มะละกอที่ต้านทานโรคห่าได้ หรือต้านทานโรคไวรัสใบด่างวงแหวนได้ และทำให้ได้มะละกอมีจำนวนเมล็ดที่น้อยลง

ถั่วหลือง GMOs
     ทำให้ได้ถั่วเหลืองที่มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการนำยีน(gene)จากแบคทีเรียใส่ลงไปในดีเอ็นเอ(DNA)ของถั่วเหลือง ทำให้ถั่วเหลืองมีความสามารถที่ทนทานต่อสารเคมีที่ปราบวัชพืชชนิด Roundup (glyphosate) หรือ glufosinate ได้ดีกว่าถั่วเหลืองแบบทั่วไป มีผลทำให้สามารถใช้สารเคมีชนิด Roundup ได้ในปริมาณที่มากขึ้น ก่อให้เกิดได้ผลผลิตของถั่วเหลืองมีจำนวนมากขึ้นไปด้วย, จากการที่ทำการ knocked out ยีน(gene)เดิมที่ทำให้เกิดไขมันชนิดอิ่มตัว ทำให้ได้ถั่วเหลืองที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวน้อยลง, จากการที่นำยีน(gene)พวกยีนบีทีใส่ลงไปในถั่วเหลืองทำให้ถั่วเหลืองสามารถฆ่าหนอนแมลงที่เป็นศัตรูของถั่วเหลืองได้


  ฝ้าย GMOs
     ทำให้ได้ฝ้ายที่สามารถฆ่าหนอนที่เป็นศัตรูของฝ้ายได้ โดยได้ใส่ยีน(gene)ของแบคทีเรียที่ชื่อ Bacillus thuringiensis var. kurataki (B.t.k) แทรกเข้าไปในโครโมโซม(chromosome)ของต้นฝ้าย ทำให้ฝ้ายสามารถที่จะสร้างโปรตีน Cry 1A ที่สามารถฆ่าหนอนที่เป็นศัตรูของฝ้ายได้

     มันฝรั่ง GMOs
     ทำให้ได้มันฝรั่ง (Potato)ที่มีลักษณะที่ดีขึ้น มีคุณค่าทางสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้นโดยได้ใส่ยีน(gene)ของแบคทีเรียที่ชื่อ Bacillus thuringiensis แทรกเข้าไปในยีน(gene)ของมันฝรั่ง ทำให้มันฝรั่ง GMOs มีคุณค่าทางสารอาหาร(เพิ่มปริมาณโปรตีน)ที่เพิ่มมากขึ้น และในบางชนิดอาจมีประโยชน์ในทางการแพทย์ที่สามารถผลิตวัคซีนที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ได้อีกด้วย

     ข้าวโพด GMOs
     ทำให้ได้ข้าวโพดที่มีลักษณะที่ดีขึ้น สามารถสร้างสารพิษทำให้แมลงที่มากัดกินข้าวโพดตายได้ โดยได้ใส่ยีน(gene)ของแบคทีเรียที่ชื่อ Bacillus thuringiensis แทรกเข้าไปในยีน(gene)ของเมล็ดข้าวโพด จึงสามารถทำให้ข้าวโพดสร้างสารที่เป็นพิษต่อแมลงที่เป็นศัตรูของข้าวโพดได้ โดยเมื่อแมลงที่เป็นศัตรูของข้าวโพดมากัดกินข้าวโพด GMOs แมลงก็จะตายลง

     อ้อย GMOs
     ทำให้ได้อ้อยที่มีลักษณะที่ดีขึ้น ทำให้สามารถต่อต้านยาฆ่าแมลง และมีปริมาณน้ำตาลซูโครสในปริมาณที่สูงขึ้น
ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืช
การที่จะถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืช ให้เป็น พืช GMOs ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จะมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
- การเลือกใช้เทคนิคในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืชให้เหมาะสมกับประเภทหรือชนิดของพืชนั้นๆ หรือ เหมาะกับเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อของพืชที่ถูกคัดเลือกมาใช้
- การคัดเลือกเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อของพืช ที่มีความสามารถในการพัฒนาเป็นต้นได้ในอัตราส่วนที่สูง เพื่อใช้เป็นเป้าหมายในการถ่ายฝากยีนเข้าไป เช่น เอ็มบริโอ (Embryo), แคลลัส (Callus) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์พื้นฐานที่สามารถที่จะชักนำการเจริญเติบโตได้หลายทาง โดยขี้นอยู่กับสารที่ใช้ในการควบคุมการเจริญเติบโตหรือสารเคมีอื่นๆที่ใช้เติมเข้าไปในอาหารเพาะเลี้ยง, เซลล์แขวนลอย (Suspension Cells) ซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยวๆ (Single Cell)หรือกลุ่มของเซลล์ที่มีขนาดเล็ก (Aggregate Cells) ที่ถูกเพาะเลี้ยงในอาหารเหลวบนเครื่องหมุนเหวี่ยงอาหาร ทำให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการแขวนลอยตัวในอาหาร, เซลล์โปรโตพลาสต์ หรือ โพรโทพลาสต์ (Protoplast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีผนังเซลล์ (Cell Wall) โดยจะใช้เอนไซม์ในการย่อยผนังเซลล์ออกไปหรือใช้วิธีกลในการแยกเอาผนังเซลล์ออกมา เป็นต้น
- การใช้ระดับของปัจจัยต่างๆหรือเงื่อนไขต่างๆที่ส่งผลต่อวิธีการถ่ายฝากยีน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการถ่ายฝากยีน
- การเลือกใช้ ส่วนที่ควบคุมการแสดงออกของยีน (Promoter), ยีนเครื่องหมายที่ใช้ในการคัดเลือกเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อ ของพืชที่มีการแทรกยีน(Gene)เข้าในจีโนม(Genome)หรือดีเอ็นเอ(DNA)แล้ว (Selectable Marker Gene) หรือ ยีนรายงานผลของการถ่ายฝากยีน (Reporter Gene) ที่มีประสิทธิภาพสูง และโดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อ ของพืชที่นำมาทำการถ่ายฝากยีน
การจัดการระบบให้ใช้ระยะเวลาที่สั้นที่สุดของเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อของพืชเป้าหมายที่นำมาถ่ายฝากยีน ในการเพาะเลี้ยง การคัดเลือก และการพัฒนาเป็นต้น เพื่อให้ลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่ต้องการซึ่งเกิดจากขั้นตอนการเพาะเลี้ยง(Somaclonal Variation) ลดลง
พืช GMOs Transgenic Plant

      
        พืช GMOs หรือ พืชดัดแปลงพันธุกรรม คือ พืชที่ได้รับการคัดเลือกให้มาผ่านกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม(Genetic Engineering) เพื่อที่จะให้พืชชนิดนั้นมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่จำเพาะเจาะจงตรงตามความต้องการ
เช่น พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโต, พืชที่มีความสามารถต้านทานแมลงศัตรูพืชได้, พืชที่มีสารอาหารทางโภชนาการหรือสารชีวโมเลกุลบางชนิดที่เพิ่มขึ้น เช่น มี โปรตีน หรือ วิตามิน หรือ ไขมัน ที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
     พืช GMOs หรือ พืชดัดแปลงพันธุกรรม ถือว่าเป็น จีเอ็มโอ (GMOs – Genetically Modified Organisms) หรือ สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ประเภทหนึ่ง ซึ่งพืชที่ผ่านการตัดต่อยีน(Gene)แล้วจากกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) มีอีกชื่อเรียกหนึ่งที่มักเรียกกัน นั่นคือ “Transgenic Plant”
     พืชจีเอ็มโอ (พืช GMOs) ที่ได้มีการวางจำหน่ายแล้วตามท้องตลาดในปัจจุบัน ได้แก่ ข้าวโพด, มะเขือเทศ, ถั่วเหลือง, ฝ้าย, มันฝรั่ง, มะละกอ, สควอช (Squash) และ คาโนลา (Canola) (พืชที่ให้น้ำมัน)
ในการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ ยีนและดีเอ็นเอถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ยีนเป็นตัวสร้าง สิ่งมีชีวิต ให้มีคุณลักษณะ และคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น ยีนทำให้ผมดำ ยีนที่ทำให้ทน ความหนาวเย็นได้ ยีนที่ทำให้มีปีก เป็นต้น กลไกการทำงานของยีน ในสิ่งมีชีวิตนั้น ซับซ้อน กว้างใหญ่ไพศาล และเป็นเครือข่ายที่เปราะบาง ยีนตัวเดียวกันแต่อยู่คนละตำแหน่งในสายยีน ก็อาจกำหนดคุณสมบัติ ที่แตกต่างกันได้ และยีนหนึ่งตัว ก็ไม่ได้มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว การดัดแปลงยีน (จีเอ็มโอ) คือการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ของสิ่งมีชีวิต อย่างที่ไม่สามารถ เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาล ต่อมนุษย์ สัตว์ และพืชทั้งหลายบนโลกใบนี้ เนื่องจาก มนุษย์ ไม่มีวันที่จะควบคุมมันได้
จากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ปีที่ผ่านมา มะเขือเทศสามารถผสมพันธุ์กับมะเขือเทศ พันธุ์อื่นได้ แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่มะเขือเทศจะผสมพันธุ์ กับปลาหรือคางคก ถั่วเหลืองอาจผสม ข้ามพันธุ์ ระหว่างถั่วเหลืองด้วยกันเอง แต่ไม่มีวันที่จะผสมพันธุ์ กับแบคทีเรีย นี่คือกฎที่ธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นเพื่อเป็นกำแพงกั้นให้สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด มีความแตกต่างหลากหลาย เพื่อความ อยู่รอด ของโลก แต่การดัดแปลงพันธุกรรม (วิศวพันธุกรรม หรือจิเอ็มโอ)เป็นการละเมิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การบีบบังคับ ให้ยีนของปลา เข้าไปผสมอยู่ใน สตรอว์เบอร์รี่ หรือยีนของแมงป่อง เข้าไปผสมกับ มะเขือเทศ
นักวิศวพันธุกรรมนำยีนแปลกปลอมเหล่านี้ใส่เข้าไปโดยใช้ไวรัสเป็นพาหนะหรือใช้ปืน ยิงยีนเข้าไป ในเซลล์ของพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ที่ต้องการ ดัดแปลงพันธุกรรม การทดลองตัดต่อยีน เข้าไปแบบ สุ่มเสี่ยงนี้ บ่อยครั้งที่ล้มเหลว ส่วนครั้งที่ทำสำเร็จ ก็ไม่รู้ได้ว่ายีนใหม่ จะเข้าไปแทรกตัวอยู่ตรงไหน ของสายยีน และจะก่อให้เกิดผลกระทบอื่น นอกเหนือไปจากที่ต้องการหรือไม่
ตั้งแต่เกิดเทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรมขึ้นมา ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดกล้ายืนยันได้ว่า อาหาร ที่มี ส่วนประกอบของจีเอ็มโอ ปลอดภัยต่อการบริโภคในระยะยาว การทดลอง ในสัตว์ทดลอง เป็นเพียง การทดลองระยะสั้นๆ เมื่อเทียบกับช่วงชีวิต ของมนุษย์ที่ยาวถึง ๖๐ - ๗๐ ปี การนำ อาหาร จีเอ็มโอ มาให้มนุษย์กิน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าปลอดภัยหรือไม่ จึงเท่ากับใช้มนุษย์ เป็นหนูทดลอง โดยที่พวกเราเอง ก็ไม่รู้ตัวว่ากินอาหารจีเอ็มโอ เข้าไปหรือไม่ ถ้าไม่มีฉลากที่ชัดเจน บอกไว้ และ หากเกิดผลร้าย ต่อสุขภาพขึ้นมาในอนาคต เราจึงไม่สามารถระบุได้ว่า ผลร้ายนั้น เกิดจากการ บริโภคอาหาร จีเอ็มโออย่างต่อเนื่องหรือไม่
ปัจจุบัน อันตรายต่อสุขภาพที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคอาหารจีเอ็มโอ คือ โรคภูมิแพ้ ดังกรณีที่เกิดขึ้น ในอเมริกา คนที่แพ้บราซิลนัท และไปกินถั่วเหลืองจีเอ็มโอ ที่มียีน ของบราซิลนัทอยู่โดยไม่รู้ตัว จะเกิดอาการแพ้ถั่วเหลืองนั้นทันที นอกจากนี้ การใส่ยีนแปลกปลอม ที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าไป อาจก่อให้เกิดโปรตีนพิษชนิดใหม่ ที่ร่างกายไม่รู้จัก และกระตุ้นให้เกิด โรคภูมิแพ้ได้
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังเป็นห่วงว่าจีเอ็มโออาจกระตุ้นให้ร่างกายดื้อยาปฏิชีวนะ เนื่องจาก ในการทดลองจีเอ็มโอ ต้องใส่สารต้านทาน ยาปฏิชีวนะเข้าไป เพื่อเป็นตัวตรวจสอบว่า การทดลอง ครั้งนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ สมาคมแพทย์อังกฤษ เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ควรให้ใช้สาร ต้านทาน ยาปฏิชีวนะในจีเอ็มโอ ประเทศในสหภาพยุโรป ได้ออกกฎหมายห้ามใช้สารต้านทาน ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่พืชจีเอ็มโอที่นำมาผลิตเป็นอาหาร อยู่ใน ท้องตลาดขณะนี้ ยังคงมีสารต้านทานยาปฏิชีวนะ เป็นส่วนประกอบอยู่
จากการที่จีเอ็มโอเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถขยายพันธุ์และเผยแพร่พันธุ์ได้ง่าย เมื่อใดที่มันถูกปล่อย ออกไปสู่สภาพแวดล้อม เราจะไม่สามารถ จำกัดบริเวณ หรือเรียกมันกลับคืนมาได้ หากเราพบ ในภายหลัง ว่ามันมีอันตราย ตัวอย่างนี้มีให้เห็นจากเรื่องของดีดีที สารเคมีกำจัดแมลง ที่มนุษย์ คิดค้นเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ถึง อันตรายของมัน และนำดีดีทีมาใช้กันอย่าง กว้างขวาง หลังจากนั้นอีก ๓๐ ปี จึงค้นพบว่า ดีดีที เป็นตัวการทำให้พืช สัตว์และมนุษย์ ต้องล้มป่วย พิการ หรือเสียชีวิต โครงการสิ่งแวดล้อม แห่งสหประชาชาติ จึงออกประกาศ ห้ามใช้สารดีดีที นับแต่นั้นมา สารเคมีพิษเหล่านี้แม้จะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมหรือในอาหารไปแล้ว แต่เมื่อหยุดใช้ไประยะหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นร้อยปีพันปี ก็จะย่อยสลายไปได้ แต่สำหรับจีเอ็มโอ อาจซ้ำร้ายกว่านั้น หากใน ๕๐ ปี ข้างหน้า เราพบว่ามันส่งผลเสีย ร้ายแรงกว่าที่พบในตอนนี้ เราคงไม่สามารถ หยุดยั้งการปลูกพืชจีเอ็มโอ หรือหาพืชพันธุ์พื้นเมืองที่ปลอดจีเอ็มโอมาปลูกได้ เพราะพืชหรือสัตว์จีเอ็มโอ ได้แพร่พันธุ์ กลืนกินพืช ที่ไม่ใช่จีเอ็มโอไปหมดแล้ว
การครอบงำจากบริษัทข้ามชาติ
มีบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ๆ เพียง ๔ - ๕ บริษัทเท่านั้นที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรในเทคโนโลยี การทำ จีเอ็มโอ รวมถึงตัวยีน และเมล็ดพันธุ์ จีเอ็มโอ ที่เพาะปลูกกันอยู่ ในโลกขณะนี้ ในการทดลองวิจัย บริษัทเหล่านี้อาจบอกว่า เป็นความช่วยเหลือ แบบให้เปล่า แต่หากต้องการปลูก เพื่อการค้า จะต้อง ทำสัญญาทางการค้า และจ่ายเงินแทนให้แก่บริษัท เกษตรกรในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา จำนวนมาก ต้องตกเป็นทาส ในที่ดินของตนเอง เนื่องจากปลูกพืชจีเอ็มโอ หรือถูกพืชจีเอ็มโอ เข้ามาปนเปื้อน ในพืชผลของตน จีเอ็มโอจึงเป็นหนทางให้ บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ เข้ามามีอิทธิพล และครอบครอง แหล่งเกษตรกรรมและแหล่งอาหารของเรา
กลุ่มผู้สนับสนุนอาหารจีเอ็มโอมักกล่าวว่าอาหารจีเอ็มโอที่วางขายในท้องตลาดผ่านการประเมิน ความปลอดภัยแล้วว่า ปลอดภัย เหมือนอาหารทั่วไป การกล่าวอ้างเช่นนี้ มาจากหลักการที่เรียกว่า หลักความเทียบเท่า (Substantail Equivalence)
ความเทียบเท่าจะเปรียบเทียบพืชจีเอ็มโอกับพืชชนิดเดียวกันที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ เช่น ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ กับถั่วเหลืองปกติ โดยดูจากรูปลักษณ์ภายนอก และองค์ประกอบพื้นฐานบางประการเท่านั้น ถ้าไม่แตกต่างกัน ก็ถือว่ามีความปลอดภัยเทียบเท่ากัน
แต่ในความเป็นจริงพืชจีเอ็มโอเกิดจากการตัดต่อยีนของพืชหรือสัตว์โดยใส่ยีนแปลกปลอมเข้าไป การเปลี่ยนแปลง ในยีนนี้ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า การใช้หลักความเทียบเท่า ไม่ได้คำนึง ถึงการเปลี่ยนแปลงของยีน และไม่ได้ตรวจสอบ ความเป็นพิษ หรือสารก่อเกิดโรคภูมิแพ้ ชนิดใหม่ๆ ที่อาจเกิดจากยีนแปลกปลอมนั้นๆ
นอกจาก "หลักความเทียบเท่า" แล้ว ผู้ผลิตพืชจีเอ็มโอไม่เคยวิจัยทดสอบความปลอดภัย ของอาหาร อย่างเพียงพอ ก่อนที่จะนำมาผลิต เพื่อการค้า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทไบเออร์ ยื่นขออนุมัติป ลูกข้าวจีเอ็มโอเพื่อการค้า ต่อองค์การอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกา ไบเออร์ ทดสอบความปลอดภัย ทางอาหาร โดยนำข้าวจีเอ็มโอชนิดนี้ ให้ไก่กินเป็นเวลา ๔๒ วัน เมื่อพบว่า ไก่ไม่เป็นอะไร จึงถือว่าข้าวจีเอ็มโอนี้ ปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ก็ยอมอนุมัติให้ปลูกโดยไม่ได้ทำการทดสอบด้วยตนเอง แต่อย่างใด


เทคนิคที่ใช้ในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืช
     ในการทำพืช GMOs ต้องใช้เทคนิคในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืช เพื่อให้พืชนั้นสามารถแสดงออกในลักษณะตามที่ต้องการได้ โดยเทคนิคเหล่านี้จะทำการส่งถ่ายสารพันธุกรรมจากภายนอก[ซึ่งอาจมาจากแหล่งอื่น เช่น ยีน(Gene)จากแบคทีเรีย]เข้าสู่ภายในเซลล์ของพืช ทำให้สารพันธุกรรมจากภายนอกสามารถแทรกตัวเข้าสู่จีโนม(Genome)หรือดีเอ็นเอ(DNA)ของพืชชนิดที่ต้องการได้ แล้วทำให้เกิดการแสดงออกในลักษณะที่ยีน(Gene)(ที่แทรกตัวเข้าไป)นั้นควบคุมอยู่ได้ รวมทั้งยังสามารถที่จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนั้นต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้อีกด้วย พืช GMOs ซึ่งถูกโอนถ่ายยีนเข้าไปนี้อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Transgenic Plants
ในปัจจุบันการถ่ายฝากยีนจากภายนอกเข้าสู่พืช สามารถที่จะทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์หรือกลุ่มเซลล์หรือเนื้อเยื่อของพืชเป้าหมายที่นำมาถ่ายฝากยีน
     วิธีการในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืช สามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีการหลักๆ คือ
- การถ่ายฝากยีนโดยตรง (Direct Gene Transfer) เช่น การถ่ายฝากยีนโดยใช้เครื่องยิงอนุภาค (Biolistic Technique), การถ่ายฝากยีนโดยใช้เข็มฉีด (Microinjection), การถ่ายฝากยีนโดยใช้กระแสไฟฟ้า (Eletroporation) เป็นต้น
- การถ่ายฝากยีนโดยใช้พาหะ (Vector-Mediated Gene Transfer) เช่น การถ่ายฝากยีนโดยใช้แบคทีเรีย Agrobacterium (Agrobacterium-Mediated Gene Transfer) เป็นต้น
     ในปัจจุบัน วิธีการที่นิยมและประสบความสำเร็จในการถ่ายฝากยีนเข้าสู่พืชได้หลายชนิด ได้แก่
- การถ่ายฝากยีนโดยใช้แบคทีเรีย Agrobacterium
- การถ่ายฝากยีนโดยใช้เครื่องยิงอนุภาค (Biolistic Technique)